บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน, 2010

ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-ลูกเสือลูกมังกร

ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-ลูกเสือลูกมังกร มีครั้งหนึ่งเหล้าขาวได้มาติดต่อที่ธนาคารไทยแห่งแรก ขอนำเงินบาทรุ่นเก่า ๆ และธนบัตรรุ่นใหม่ ๆ ที่เรียงลำดับ ตั้งแต่หมายเลขหนึ่ง-ศูนย์ ๆ มาฝากไว้ที่ห้องมั่นคงของธนาคาร ก็มีการพิจารณากันว่าจะช่วยเหลือแกอย่างไรบ้าง เพราะความที่แกค่อนข้างสนิทสนมกับคนในธนาคารแทบทุกคน เลยตกลงกันว่า นับจำนวนเงินฝากของแกทั้งหมดว่ามีเท่าไร แล้วเก็บไว้เป็นสินทรัพย์สภาพคล่อง(เงินสด)ของธนาคารในแต่ละวัน หลักเกณฑ์เบื้องต้นง่าย ๆ คือ สมมุติเมื่อวานนี้(สิ้นวันทำการธนาคาร) มีคนฝากเงินกับธนาคารรวมหมดทุกบัญชีหนึ่งร้อยล้านบาท วันรุ่งขึ้นตามเกณฑ์ทั่วไป/ปกติก็จะมีคนมาเบิกเงินสดไม่เกินกว่ายี่สิบล้านบาท คล้าย ๆ กับหลักพาเรโต 80:20 อะไรทำนองนั้น ถ้าสามารถบริหารจัดการ/ประมาณการการเบิกเงินสดได้ดี ๆ หรือมีความแม่นยำสูงว่า จะมีการเบิกน้อยกว่าร้อยละยี่สิบ หรือมากกว่าร้อยละยี่สิบในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ธนาคารก็สามารถบริหารจัดการโดยการโอนเงินเข้าสำนักงานใหญ่ เพื่อรับส่วนแบ่งกำไรคืนในค่า PCE (Profit center earning) จากการที่สำนักงานใหญ่นำเงินดังกล่าวไปปล่อยสินเชื่อแบบ call loan หรือ Interbank Loan (เงิ

ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-หมี่เป็ดจอมทรนง

ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์ - หมี่เป็ดจอมทรนง สมัยทำงานที่ธนาคารไทยแห่งแรก จำได้ว่าร้านตรงข้ามมีการขายหมี่เป็ดตอนเช้า ประมาณว่าไม่เกินเที่ยงวันก็ขายหมดแล้ว เพราะเป็นเจ้าเดียวในตลาดปาดังเบซาร์ ที่ขายเนื้อเป็ด เลือดเป็ด ที่ต้มกับเครื่องยาจีน เป็นเจ้าเดียวในตลาดที่ขายเนื้อเป็ด ส่วนเจ้าอื่น ๆ ก็มีรายย่อยสองสามเจ้า แต่ฝีมือและความชำนาญในเรื่องนี้ยังไม่เข้าขั้น ระดับแชมป์ฝีมือในเรื่องเป็ดแต่อย่างใด ที่จำได้ดีเพราะกินทุกเช้าก่อนเข้าทำงาน กินติดต่อกันอยู่ราวสักสามเดือนติดต่อกัน จนเป็นโรคเกาซ์เลยต้องหยุดกินชั่วคราว เถ้าแก่ร้านขายหมี่เป็ดนี้ มีความทรนงและอารมณ์ร้อนรายหนึ่งพอสมควร คือ ถ้าวันไหนได้เป็ดมาคุณภาพไม่ดี แกก็ไม่ยอมขายเสียเลยในวันนั้น การสั่งซื้อสินค้าก็ตามคิวที่แกกำหนด การเที่ยวใช้อภิสิทธิ์แหกคิวอย่าเสี่ยงดีกว่า ถ้าแกจำได้ก็จะโดนเอ็ดดังลั่นเสียผู้เสียคนไปเลย มีครั้งหนึ่งแกโกรธลูกสาวของแกมาก ในเรื่องให้มาช่วยงานแกในการขายหมี่เป็ด ก็ตามประสาวัยรุ่นที่ไม่ค่อยอยากจะทำงานมากนัก เที่ยวโอเอ้วิหารรายอยู่ในช่วงเช้าที่ต้องรีบขายรีบช่วยงาน ปรากฎว่าแกโกรธถึงขั้นเททิ้งหม้อต้มเครื่องยาจีนเป็ดทั้งหม้อ เทลง

ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-ไฟไหม้

ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-ไฟไหม้ มีช่วงวันหนึ่งกำลังทำงานอยู่ในที่ทำงานธนาคารไทยแห่งแรก ได้ยินเสียงรถหวอ(รถดับเพลิง) วิ่งผ่านหน้าที่ทำงาน ก็ตามประสาไทยมุงต่างขออนุญาตหัวหน้างาน เดินออกไปสอบถาม/แวะออกไปดูว่าไฟไหม้ที่ไหน ขณะเดียวกันก็เห็นชาวบ้านจำนวนมาก ต่างวิ่งออกจากเขต Nomain Land ทำให้รู้ว่าในปาดังเบซาร์มีคนแอบแฝง และอยู่อาศัยทำมาหากินจำนวนมากมาย เพราะเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ตามปรกติ ก็เห็นจำนวนคนไม่มากมายอะไรนัก อธิบาย Nomain Land คือ เขตที่ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าเป็นของไทยหรือมาเลย์ แต่มีผู้มีอิทธิพล/กล้าลงทุนไปปลูกตึกแถวชั้นเดียวให้คนเช่า ก็มีคนเข้าไปเช่าอาศัยอยู่จำนวนมาก มีทั้งการเข้าไปทำการค้าขาย จุดพักสินค้าชายแดน บ่อนการพนัน เพราะในเขตดังกล่าว การเข้าจับกุมผู้ต้องหาหรือตรวจค้นบ้านเรือน จะต้องร่วมกันจากตำรวจของทั้งสองประเทศคือ ไทยกับมาเลย์ จึงจะทำได้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เว้นแต่จะใช้หลักนอกกฎหมายก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องนาน ๆ ครั้ง หมายเหตุ ตอนนี้บ้านเรือนในเขตนี้ เป็นของมาเลย์ทั้งหมดแล้ว เลยถูกเจ้าหน้าที่มาเลย์สั่งรื้อทิ้งทั้งหมดแล้ว ช่วงไฟกำลังไหม้บ้านไม้อยู่นั้น ก็มีรถดับเพลิงจา

ชีิวิตชายแดนปาดังเบซาร์-หลวงวัลลภ

ชีวิตชายแดนปาดังเบซาร์-หลวงวัลลภ หลวงวัลลภเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดปาดังเบซาร์ เป็นพระที่รูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร สักยันต์ ผิวสีน้ำตาลไหม้ ใบหน้ารูปไข่ พูดจาโผงผาง เป็นพระนักเทศน์ มักจะออกเดินสายเทศน์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีคนเชิญไป แกมักจะพาวิทยุที่สามารถขยายเสียงออกลำโพงได้ เวลาไปเทศน์พร้อมกับแกเสมอ โดยบอกว่าเป็นการอำนวยความสะดวก ให้กับเจ้าภาพไม่ต้องเสียเวลาหาไมค์หาลำโพง ได้สอบถามท่านได้ความว่า มีช่วงหนึ่งได้ไปเข้าพรรษาที่วัดสวนโมกข์ ของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุอยู่ช่วงหนึ่ง หลวงวัลลภที่สนิทสนมกับแกได้ง่ายเพราะ แกเป็นน้าชายของเพื่อนนักเรียนรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่า ครอบครัวของรุ่นน้องทำธุรกิจขนส่งสินค้าชื่อ ลมเย็น และมีบ้านติดกับบ้านครอบครัวอดิตรองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นคนพื้นที่หาดใหญ่สมัยก่อน ก่อนที่จะแยกออกไปเป็นอำเภอบางกล่ำภายหลัง อำเภอหาดใหญ่ ก่อนจะแยกพื้นที่ออกไปอีกสามอำเภอคือ นาหม่อม บางกล่า คลองหอยโข่ง จะมีพื้นที่มากที่สุดในจังหวัดสงขลา แต่ตอนนี้เป็นอำเภอสะบ้าย้อย ช่วงเย็นหลังเลิกงาน ก็มักจะไปนั่งพูดคุยกับแกเสมอ หรือบางครั้งอยากหลบเหล้าขาวที่มักจะชวนไปกินเหล้า ก็มักจะหล

วจีพิฆาตของผู้ประสงค์ดีแต่หวังร้าย

วจีพิฆาตของผู้ประสงค์ดีแต่หวังร้าย เรื่องนี้ต้องย้อนตำนานในอดีต ได้รับการบอกเล่ามาอีกทีหนึ่ง สมัยหนึ่งมีครอบครัวหนึ่งบ้านอยู่หาดใหญ่ เป็นตระกูลบ้านนอกทั่วไปในท้องถิ่น สามีมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างทั่วไป บางครั้งก็รับเหมาก่อสร้างไปถึงจังหวัดลพบุรี ส่วนภริยาค้าขายที่บ้านกับบุตรสาวคนโต ฐานะก็จัดว่าปานกลางหรือพอมีจะกินในระดับบ้านนอก มีที่ทางและสวนยางพาราพอเลี้ยงชีพจำนวนหนึ่ง ส่วนญาติฝ่ายสามีตระกูลบ้านนอก มีร้านค้าทอง ที่บ้านหม้อ พาหุรัด เป็นร้านทองขนาดห้องแถวเดียว โดยมีศักดิ์เป็นอาของคนบ้านนอก เพราะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับทวดของตระกูลบ้านนอก ทั้งสองตระกูลนี้แรกเริ่มเดิมทีใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก จนกระทั่งมีการใช้นามสกุลร่วมกัน ลูกหลานของทั้งสองตระกูลต่างไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ มีครั้งหนึ่งลูกสาวของตระกูลบางกอก มาเรียนที่ปีนัง มาเลย์ สมัยนั้นถือ ว่าโก้มากและเป็นการไปเรียนเมืองนอก อดีตนางสาวจักรวาล อาภัสรา หงสกุล ก็ผ่านการเรียนที่ปีนัง มาก่อนเช่นกัน ช่วงหยุดเทอมก็มักจะมาพักอาศัยที่ บ้านตระกูลบ้านนอก ส่วนลูกชายตระกูลบ้านนอก ช่วงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็ไปพักอาศัยอยู่ที่ตระกูลบางกอก และครอบครัวลูกหลานบ้านนอ

เผาสัญญาเงินกู้

เผาสัญญากู้เงิน เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่ามาอีกทีหนึ่ง คำวันหนึ่งมารดาของเพื่อนอายุกว่าเก้าสิบปีแล้ว นึกขึ้นมาได้ว่ามีเอกสารหลักฐานสัญญากู้เงิน ที่บัดดี้(เพื่อนซี้)ของสามีนำมาฝากไว้ที่บ้านกว่ายี่สิบห้าปีแล้ว และจำได้ว่าวางไว้ที่ตู้เก็บเสื้อผ้าแบบโบราณที่บ้าน มีไม้กระดานทับบนซ่อนอยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่ง ถ้าไม่สังเกตจะมองไม่ออกว่ามีการเก็บเอกสารไว้ข้างใน (ว่าง ๆ จะไปถ่ายรูปมาให้ดู) แกเลยสั่งให้ลูกชายไปค้นมาให้เจอ ส่วนแกขึ้นไปค้นเองไม่ไหวแล้ว เพราะตู้ดังกล่าวตั้งอยู่บนชั้นสามของบ้านตึกแถว ลำพังตัวแกเองก็เดินขึ้นบันไดเองไม่ได้แล้ว ถ้าแกจะขึ้นไปจริง ๆ ก็ต้องหาคนมาแบกมาหามแกขึ้นไป ลูกชายก็เลยบอกแกว่า ไม่มี ๆ หาไม่เจอ ๆ แกยืนยันว่ามี และต้องมี แถมงอแงและงอนเป็นการใหญ่ ตามประสา สว. (ผู้สูงวัย) ที่ต้องการการตามใจ สุดท้ายลูกชายเลยต้องเกณฑ์ลูกหลานในบ้าน ทำการรื้อทำการค้นหาจนเจอแล้วนำไปให้แก แกนั่งอ่านอยู่สักพักใหญ่ ๆ แล้วก็จัดการเผาทิ้งสัญญากู้เงินฉบับนั้นทั้งหมดเลย ตอนแกอารมณ์ดี ๆ อยู่เลยสอบถามแกได้ใจความว่า เพื่อนซี้(สนิท)ของสามีมาฝากไว้ที่บ้านกว่ายี่สิบห้าปีแล้ว บอกว่าช่วยเก็บรักษาไว้ให้ดีด้วย เพ

เถ้าแก่ยีบเจ็ด

ยังจำได้ว่ามีรถเข็นคันใหญ่ บรรทุกโถใส่น้ำดื่มประเภท น้ำแดง น้ำเขียว น้ำสัปรส น้ำลิ้นจี่ น้ำลำไย มีลังไม้หุ้มด้วยสังกะสีหรือแสตนเลสขนาดใหญ่(ถ้าจำไม่ผิด) ใส่น้ำแข็งก้อนแบบทุบที่ดึงออกมาจากรถได้ พร้อมถังน้ำใส่น้ำไว้ล้างแก้วที่นักเรียนดื่มเสร็จแล้วสองถัง รถรุนขายอยู่บนถนนหน้าเส้นทางเข้าออกโรงเรียนแสงทองวิทยา พอจำได้ว่าเคยซื้ออยู่ช่วงวันไหนที่มีเงินเหลือเก็บจากเมื่อวาน หรือช่วงเดินกลับบ้านตอนเย็นแล้วยังมีเงินเหลือบ้าง แต่ส่วนมากก็จะไม่มีเงินเพียงพอในการซื้อ เพราะใช้ในช่วงพักกับช่วงกลางวันก็หมดแล้ว หรือบางครั้งก็พยายามเก็บเงินออม/สะสมตามนโยบายประหยัด หรือได้รับจากการอบรมในเรื่องการอดออมจากครู ต่อมาเริ่มสังเกตว่า ทำไมจึงมีเด็กนักเรียนรุ่นพี่และรุ่น ๆ กันมุงอยู่กับคนขายน้ำคนนี้ เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ และมีเสียงเฮฮากันตลอด สอบถามเพื่อนสนิทที่เข้าไปในกลุ่มจึงทราบว่า กำลังเล่นการพนันประเภทหนึ่งกับคนขายน้ำรายนี้ คนขายน้ำรายนี้เป็นลูกจีนค่อนข้างท้วมหน้าสี่เหลี่ยมวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์ ในช่วงที่เริ่มรุนรถเข็นมาขายน้ำที่หน้าโรงเรียนแสงทองวิทยา นักเรียนรุ่นพี่พยายามสอบถามสืบเสาะชื่อจริงชื่อเล่น แกก็ไม่ยอมบอกหรือใ

โรงแรมแห่งหนึ่งในหาดใหญ่

รูปภาพ
โรงแรมแห่งหนึ่งที่หาดใหญ่ สถานที่ก่อสร้างโรงแรมแห่งนี้ จำได้ว่าเป็นที่ดินแปลงใหญ่ที่มีคลองเตยล้อมรอบอยู่ เหมือนรูปตัว U เป็นที่สวนยางเก่าแก่และบางส่วนเป็นสวนผัก มีทางเดินข้ามไปยังฝั่งนี้เป็นสะพานเล็ก ๆ สามเส้นคือ หน้าโรงเรียนธิดานุเคราะห์หนึ่งเส้น เข้าทางวัดปากน้ำ(มงคลเทพาราม) ทางวัดสมัยอาจารย์แอบ(อดีตเจ้าอาวาส)ได้สร้างศาลาการเปรียญ ตั้งคร่อมระหว่างคลองเตยกับเป็นทางข้าม(เทศบาลได้สั่งรื้อทิ้งไปนานแล้ว) ไปยังฝั่งตรงข้ามคลองเตยด้านหลังเป็นที่พักของแม่ชีส่วนหนึ่ง ปัจจุบันมีพระพุทธรูปตั้งอยู่และมีอาคารชั้นเดียวเป็นที่พัก/เก็บของบางส่วน สภาพปัจจุบันอยู่ติดกับ/ใกล้กับรั้วโรงเรียนธิดานุเคราะห์ ทั้งสองเส้นนี้ไม่จำเป็นจะไม่ค่อยมีคนใช้เส้นทางมากนัก เพราะด้านในค่อนข้างจะรกร้างและเกรงกลัวอันตรายจากงู และเกรงว่าเป็นจะเป็นการบุกรุกที่สวนบุคคลได้ ส่วนด้านหน้าทางเข้าเป็นทางสะพานเหล็ก ๆ เล็ก ๆ ทางกว้างพอเพียงสำหรับให้คนเดินข้าม อยู่ตรงถนนเพชรเกษมใกล้กับวงเวียนน้ำพุในปัจจุบัน ด้านหน้าจำได้ว่าเป็นป่ายางพารา มีการติดป้ายโฆษณาภาพยนต์ระเกะระกะ ที่จำได้ดีเพราะเคยขับรถจักรยานพร้อมกับเพื่อน ได้เจอเหตุการณ์มีไทย

ครูประจำชั้น ป 6 ง.

รูปภาพ
ครูที่ยังจำได้ ชั้นป.6.ง. ครูที่ยังจำได้ ชั้นประถมปีที่ 6 ง. ผลการเรียนชั้นประถมปีที่ 5 ก. ผ่านไปอย่างทุลักทุเลและทุเรศมาก คณิตศาสตร์ก็อ่อนแอ เศษส่วนก็ไม่รู้เรื่อง เรขาคณิต เส้นตรงเส้นหนึ่งตั้งอยู่บนเส้นตรงอีกเส้นหนึ่ง มุมประชิดรวมกันได้....องศา แล้วก็ ซตพ. หรือ QED หลายวิชาถ้าเป็นปัจจุบันก็ต้องพูดว่ายังต้องพัฒนา หรือเรียกกันแบบภาษาปากก็คือ ยัง..มาก เลยตกหล่นไปอยู่ห้องบ้วยสุดของโรงเรียน คือห้อง ง. ถ้าจำไม่ผิดก็ถูกไม้เรียวแม่หวดในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ห้อง ง. เป็นห้องที่รวบรวมเด็กนักเรียนที่ ผลการเรียนอ่อนที่สุดไว้ประเภทหนึ่ง นักเรียนที่เรียนตกซ้ำชั้นประถมปีที่ 5 ความประพฤติต้องควบคุมดูและเป็นพิเศษ เด็กนักเรียนที่ย้ายมาจากโรงเรียนอื่นประเภทสาม เพราะนโยบายสมัยนั้นหรือสมัยนี้ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก คือ เด็กนักเรียนเก่ง ๆ ก็จะรวบรวมไว้ห้องเดียวกัน เพราะสะดวกในการเรียนการสอนของครูและนักเรียน การคละกันก็จะมีปัญหาความพร้อมในการเรียนการสอน นโยบายของรัฐก็เป็นได้แค่โรงเรียนในฝัน ครูประจำชั้นจำได้สนิทว่าชื่อ ครูเสน่ห์ นันทวิสุทธิ์ ถ้าจำไม่ผิดเป็นนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม จากโรงเรีย

ครูประจำชั้น ป 5 ก.(ทวิบท)

ครูที่ยังจำได้ชั้น ป.5.ก. ครูภาษาอังกฤษเป็นลูกจีนเกิดในประเทศไทย เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนแสงทองวิทยารุ่นแรก และนับถือคริศตศาสนานิกายโรมันคาทอลิค ขอใช้ชื่อนามแฝงว่า ครูแสง ก็แล้วกัน เพราะแกยังมีชีวิตอยู่และเพื่อนบ้านของแกก็ยังใช้วิถีชีวิตอยู่ใกล้เคียงกัน ครูแกมีความขยันมากโดยรับผิดชอบงานด้านธุรการของโรงเรียน แต่ระหว่างเวลาช่วงพักก็จะช่วยญาติพีน้องค้าขายอาหารในโรงเรียน ยามว่างก็มาสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนประจำชั้นป.5 ก. แม้ว่าแกจะพร่ำสอนเด็กนักเรียนว่า คำว่า Master ต้องอ่านว่า มาสเตอร์ แต่เด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ก็จะพูดกันแต่ว่า มัสเซ่อร์ จนเป็นที่รู้กันในหาดใหญ่ว่าถ้าพูดคำว่า มัสเซ่อร์ มักมาจากโรงเรียนนี้ คงเหมือนกับภาษาฝรั่งเศส Monsieur ถ้าคนเรียนภาษานี้จะอ่าน เมอร์ซิเออร์ แต่คนแปลหนังสือบางคนจะแปลตรงตัวว่า มองซิเออร์ เป็นต้น และที่ตลกอย่างคือ ชื่อครูใหญ่จะมีชื่อเรียกกันว่า การ์เดน Garden เพราะแกมีชื่อแบบคนไทยดั้งเดิมคือชื่อ สวน ครูใหญ่คนนี้เคยเป็นลิเกเก่ามาก่อน ทำให้สามารถแต่งกลอนได้ไพเราะ และเป็นคนแต่งเพลงประจำโรงเรียนเช่นกัน ครูแสงสอนภาษาอังกฤษเล่ม Praticle English ถ้าจำไม่ผิดแต่งโดย คาร

ครูประจำชั้น ป 5 ก.(ปฐมบท)

ครูที่ยังจำได้ชั่น ป.5.ก.(ตอนแรก) ครูประจำชั้นที่ยังจำได้ ชั้น ป.5.ก. (ตอนที่ 1) สมัยสอบผ่านชั้นประถมปีที่ 4 ก. ก็ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก. ตอนนี้ห้องเรียนได้ขยายเป็น 4 ห้องแล้ว จากเดิมป 1 ถึง ป 4 มีเพียง 3 ห้องคือ ก ข ค แต่เมื่อขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งห้อง เพราะจำนวนนักเรียนที่สมัครเรียนมากขึ้น รวมทั้งเด็กจำนวนหนึ่งเกือบทั้งห้องเป็นเด็กนักเรียนประจำ กินอยู่หลับนอนอยู่ที่โรงเรียน ได้กลับบ้านก็เสาร์อาทิตย์ ถ้าพ่อแม่มารับหรือมีหนังสืออนุญาตให้กลับบ้านเองได้ ส่วนถ้าไม่มารับหรือไม่อนุญาตให้กลับบ้านเองได้ ก็ต้องอยู่ประจำที่โรงเรียนในวันเสาร์อาทิตย์ แต่จะมีบราเดอร์หรือครูพาเดินเที่ยวในหาดใหญ่ มีเพื่อนผมคนหนึ่งบ้านอยู่ในหาดใหญ่ ถูกพ่อแม่ดัดนิสัยให้มาอยู่โรงเรียนประจำ ปรากฎว่าครบเทอมจึงจะได้กลับบ้านตามเดิม ก็ไม่อยากกลับแล้วเพราะติดเพื่อนมากกว่าเดิม แต่เมื่อกลับไปอยู่บ้านก็จะเรียบร้อยและเป็นระเบียบกว่าอดีตมาก ครูประจำชั้นคนนี้จำได้แต่ว่าชื่อ ครูประดิษฐ์ แต่จำนามสกุลไม่ได้แล้ว จำได้แต่หน้าเลา ๆ ว่า เป็นคนหน้าอวบอ้วน มีหนวดเคราที่โกนแล้วยังดูออกว่าผ่านการโกนหนวดเคร

ครูประจำชั้น ป 3 ก.

ครูที่ยังจำได้ชั้น ป.3 ก. ครูที่ยังจำได้ ครูประถมศึกษาปีที่ 3 ก. ครูผิน อรัญดร น่าจะเป็นลูกจีนเกิดในไทยแซ่ลิ้ม (ภาษาจีนที่แปลว่า ป่าไม้) มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่อำเภอหาดใหญ่ ตำบลทุ่งลุง เกือบทั้งตำบลจะใช้แซ่ลิ้ม มีสมาคมตั้งอยู่ที่ตำบลดังกล่าว นามสกุลนี้ก็มักจะขึ้นต้นหรือลงท้ายด้วย วน วนา พนา พนัส เป็นต้น ดังนั้น ถ้ามาจากอำเภอสงขลาบอกว่า แซ่ลิ้ม ให้สันนิษฐานได้ร้อยละเก้าสิบ มักมาจากตำบลดังกล่าว ครูผินเป็นครูที่ใส่แว่นตากรอบสีดำใหญ่ หน้าสี่เหลี่ยมใบหน้าผุ จากสิวเสี้ยนที่เป็นรอยบนใบหน้า สมัยนั้นนักเรียนชั้นประถมปีที่สามถือว่าเริ่มเป็นเด็กนักเรียนใหญ่แล้ว ต้องเข้าร่วมกิจกรรมการเดินขบวนพาเหรด หรือกิจกรรมกีฬาระหว่างโรงเรียนสม่ำเสมอ มักจะถุกบังคับให้เดินจากโรงเรียนแสงทองวิทยาไปสนามกีฬากลาง หรือไปที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ช่วงวันปิยะมหาราช ระยะทางก็กว่าสามถึงสี่กิโลเมตร ช่วงประถมปีที่ 3 มีช่วงหนึ่งผมชอบถามมาก เพราะช่วงประถมปีที่สองก็อ่านหนังสือแตกแล้ว มักจะเอาหนังสือของพี่ชายพี่สาวมาอ่านทั้งที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ถามไปได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้าง แกก็ตอบไปตามประสา แต่เวลาสอนแกมักจะเล่าเร

ครูประจำชั้น ป 4 ก.

ครูที่ยังจำได้ชั้น ป.4 ก. ครูประจำชั้นที่ยังจำได้ ครูประถมศึกษาปีที่ 4 ก. ครูชิต บุนนาค เป็นครูรูปร่างเล็กผิวขาว มักจะถูกพูดกันในหมู่ครูโรงเรียนที่นินทาให้ได้ยิน โดยได้รับฟังจากรุ่นพี่ว่า แกเป็นครูที่แปลกที่มาจากตระกูลบุนนาค แต่มีผิวขาวหรือเป็นพวกผู้ดีตกยาก (จริง ๆ แล้วช่วงหลังเคยเจอกับพันตำรวจโท สล้าง บุนนาค ยศในสมัยเป็นสารวัตรสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ ก็เป็นคนผิวขาว) ลูกชายแกตัวผิวดำมากเรียนห้องเดียวกัน (จำชื่อไม่ได้แล้ว) เคยพูดจากับลูกชายแกพักหนึ่ง ก่อนจะที่แกจะบอกว่า ถ้าแกจบประถมปีที่สี่แล้วจะไปเรียนต่อที่อื่น และอยากจะเป็นทหาร พอช่วงใกล้จบการศึกษาภาคบังคับ ลูกชายแกก็เก็บตัวเงียบ ช่วงว่างจากการพักก็จะอ่านหนังสือคนเดียว ไม่ค่อยพูดจากับเพื่อนฝูงแต่อย่างใด (มาตอนนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่า แกคงจะเครียดและต้องเตรียมตัวสอบ เพื่อเข้าเรียนในที่แห่งใหม่ ไม่รู้ว่าที่ไหนเพราะแกไม่ยอมบอกอะไรเลย) หลังจากที่แกสอบประถมปีที่สี่แล้ว แกกับครูชิด ก็หายไปจากหาดใหญ่ ไม่มีใครทราบข่าวว่าทั้งคู่ไปไหนอีกเลย แม้ว่าจะสอบถามรุ่นพี่หลายคนว่าเจอครูชิตกับลูกแกที่ไหนบ้าง ก็ยังไม่ไ้ด้ข่าวคราวแต่อย่างใด ถ้าใครทราบก็แจ้งให้ทร

ครูประจำชั้น ป 2 ก.

ครูที่ยังจำได้ชั้น ป.2 ก. ครูที่ยังจำได้ ครูประถมศึกษาปีที่ 2 ก. ครูประจำชั้นชื่อ ครูประถม สุวรรณสุโข เป็นครูรูปร่างสันทัด ผิวขาวอารมณ์ดี แต่เวลาลงโทษเด็กนักเรียน ชอบใช้มือตบหลังเด็กนักเรียนดังมาก ที่จำได้ว่าโดนแกตีครั้งหนึ่ง เพราะกลับเพื่อนอีกคนชวนกันแอบหนีไปเข้าห้องน้ำ ช่วงกำลังเรียน แต่ถูกแกจับได้เลยโดนกันทั้งสองคน แต่สำหรับคนที่แอบหนีไปแล้วแกจับไม่ได้ ก็จะมีการแสดงออกหน้าออกตาว่า แน่หรือเป็นฮีโร่ ในสมัยนั้นครูทำโทษเด็กนักเรียนถือว่าเป็นเรื่องปกติ พ่อแม่มักจะไม่ถือโทษโกรธหรือเอาเรื่องครู ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างกับปัจจุบันมาก ที่ผู้ปกครองนักเรียนบางคนในบางโรงเรียนหรือบางแห่ง มักจะมีการแจ้งความเอาเรื่องกันถึงที่สุด หรือให้ย้ายครูโรงเรียนนั้นออกไปเลย สมัยนั้นพ่อแม่มักจะบอกว่าดีเป็นการกำราบ หรือลงโทษนักเรียนที่มีปัญหาในเวลาเรียน ถ้าโดนครูตีกลับบ้านมักจะโดนตีซ้ำอีก สมัยนั้นครูประจำชั้นคนเดียวสอนทุกวิชา มีการสอนคือ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ โดยสอนแล้วให้ทำการบ้านเงียบ ๆ แล้วส่งตรวจภายใน เวลาเรียน นาน ๆ จะมีงานให้กลับไปทำที่บ้านสักครั้งหนึ่ง ส่วนมากจะตรวจงานในเวลาเรียนเลย ใครทำผิดก็ไปพบต

ครูประจำชั้น ป 1 ค.

ครูที่ยังจำได้ชั้น ป.1 ค. ครูประจำชั้นที่ยังจำได้ ครูประจำชั้นประถมปีที่ 1 ค. ชื่อว่า ครูช่วง ณ สงขลา สมัยนั้นที่โรงเรียนแสงทองวิทยา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา (เป็นโรงเรียนชายล้วน สมัยนั้นสอนตั้งแต่ประถมปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3) ถ้าจำไปผิดจะมีชั้นประถมปีที่ 1-4 ที่มีห้อง ก ข ค ก่อนจะเริ่มมีห้อง ง ตอนชั้นประถมปีที่ 5 เพราะพอก่อนจบ ประถมปีที่ 4 ภาคบังคับ (การศึกษาภาคบังคับสม้ัยนั้นจบแค่ ป 4. ก็พอแล้ว) ก็จะต้องสอบข้อสอบจังหวัดว่าได้หรือตก หรือเรียกว่าข้อสอบกระทรวงสมัยก่อน ถ้าสอบผ่าน ก็จะออกไปทำงานช่วยพ่อแม่หรือ จะขอเรียนต่อชั้นประถมปีที่ 5-7 ต่อไปได้เลย แล้วสอบข้อสอบจังหวัดอีกครั้งตอน ป.7 หรือประถมศึกษาปีที่ 7 สอบผ่านก็เรียนต่อมัธยมศึกษาปีที่ 1 หรือออกไปทำงานช่วยครอบครัวได้เลย เพราะจริง ๆ จบการศึกษาภาคบังคับตั้งแต่ป 4. แล้ว ครูช่วง ณ สงขลา เป็นที่หน้าตาแบบคนจีนรุ่นเก่าที่หน้าเรียวยาว คางแหลม ไว้หนวดเล็กน้อย ผิวดำคล้ำ เป็นครูรุ่นเก่าแก่ที่จบประถมศึกษาปีที่ 4 ก็มาเป็นครูได้เลย แกสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 และสอนมาตั้งแต่รุ่นแรกของ โรงเรียนแสงทองวิทยา ตั้งแต่พี่ชายคนโตของผม จนกระทั่งถึงผมเข