เรื่องเล่าจากคนทำป้ายสุสานจีน

















วันนี้ไปเดินเล่นออกกำลังกาย
ได้แวะร้านขายของชำแห่งหนึ่ง
เดิมทำกิจการขายหินป้ายสุสานคนจีน(หน้าฮวงซุ้ย)
เพื่อซื้อน้ำมันเบนซินขวดหนึ่งราคายี่สิบห้าบาท
ไปเติมรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่จนน้ำมันหมดถัง
ก่อนขับไปเติมที่ปั้มน้ำมันแทนการรุน/เข็นไปที่ปั้มน้ำมัน

พบเจ้าของร้านที่แต่เดิมขายป้ายฮวงจุ๊ยของคนจีน
ที่ส่วนมากมักทำจากหินแกรนิต
สอบถามว่า ธุรกิจตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
แกบอกว่าจะเลิกทำแล้ว
เพราะหาช่างแกะสลักหินยากมาก
และในตอนนี้ ไม่ค่อยมีงานเข้า
หรือมีคนมาสั่งซื้อหินหน้าหลุมศพกันแล้ว

เพราะตอนนี้มีสินค้าทดแทนคือ
หินอ่อนเทียมที่แกะสลักได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
รวมทั้งการใช้หินแกรนนิตแท้ ๆ ราคาก็แพงมาก
ไม่รวมค่าหลุมฝังศพ (ฮวงซุ้ย) ทำเลที่ดี ๆ
ราคาไม่น้อยกว่าแสนบาทขึ้นไปเลย
ยังไม่รวมค่าตกแต่งประดิษฐ์ประดอย
สร้างความสวยงามให้กับหลุมฝังศพอีกส่วนหนึ่ง

อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่ง
คนจีนรุ่นใหม่ในเมืองไทยตอนนี้นิยมเผาศพ
และเริ่มนิยมประเพณีลอยอังคารกันมากแล้ว
แทนการฝังศพของคนจีนแบบสมัยก่อน
ซึ่งต้องมีพิธีกรรมมาเซ่นไหว้ทุกปีในวันเชงเม้ง
หรือต้องรวมญาติไปทำความสะอาดหลุมฝังศพ
(เป็นอุบายให้ลูกหลานได้รู้จักเครือญาติ
ได้นับลำดับญาติซึ่งกันและกัน
และสร้างความสมานสามัคคีในครอบครัวเดียวกัน)

แต่โลกปัจจุบัน
คนเราทำงานห่างไกลจากบ้านเกิดกันมากขึ้น
เวลาไม่ค่อยจะมีกัน
หรือหาวันหยุดงานให้ตรงกัน
เพื่อความสะดวกในการนัดหมายให้มาพร้อม ๆ กัน
โอกาสจะมาร่วมพิธีกรรมพร้อมหน้าพร้อมตากัน
จึงค่อนข้างทำกันได้ยากขึ้น
แม้ว่าตอนนี้ จะมีการขยายระยะเวลาการทำพิธีเชงเม้ง
เป็นก่อนสิบห้าวันหลังสิบห้าวันแล้วก็ตามแต่

แต่เดิมธรรมเนียมไทยสมัยก่อน
จะมีการลอยอังคารส่วนหนึ่ง
แต่อีกส่วนหนึ่งจะเก็บไว้กับบัว
หรือโกฐใส่กระดูก
หรือบรรจุไว้ในฐานพระพุทธรูป
ต้องมีพิธีกรรมไหว้/ทำบุญให้กับ
คนตาย/กระดูกปีหนึ่งไม่ต่ำกว่าสามครั้ง
คือ เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลบุญเดือนสิบ
และ/หรือวันที่นัดหมายกัน (ครบรอบวันตาย)
หรือวันที่วัดประจำตระกูลนัดหมายไว้ทุกปี
เพื่อรวมหมู่ญาติมิตรให้มาทำบุญกระดูก
หรืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ตาย
เช่น ครบรอบวันตายของผู้ตาย
ครบรอบประเพณีของวัดที่กำหนดไว้
หรือวันสหญาติ(ของอำเภอระโนด)

ได้พูดคุยกันหลายเรื่อง เช่น
แกบอกว่าป้ายหินแกรนนิต
ถ้ามีรอยร้าวจะมีกาวประเภทหนึ่ง
หลอดพันกว่าบาทหยอดแล้วประกบให้แน่น
จะมองไม่เห็นเลยว่าเป็นรอยแตกร้าวมาก่อน

เลยเล่าให้แกฟังว่า
เคยอ่านพบในวารสารวิศวกรรมศาสตร์
พบว่าหินรูปธรรมจักรที่พุทธมณฑล
มีรอยแตกร้าวอยู่สามรอย
ก่อนจะทำการแกะสลักรูปธรรมจักร
แต่มีการใช้ลวดรัดดึงให้กลับคืนสภาพเดิม

แกบอกนั่นแหละหยอดกาวที่ว่า
เพราะแกไปซ่อมป้ายสุสานตามฮวงจุ้ยอยู่บ่อย ๆ
ที่มีการแตกร้าวหรือแตกชำรุด
เพราะส่วนมากจะมีคนเมาทุบทำลายเล่นเวลาเมา
หรือเวลาช่างก่อสร้างมีปัญหา
ทะเลาะกับญาติพี่น้องของคนตาย
ในช่วงเวลาว่าจ้างให้ทำฮวงจุ๊ย

หรือตอนติดตั้งก้อนหิน
อาจจะมีการแตกร้าวขึ้นมาบ้าง
หรือเป็นการแตกร้าวตามธรรมชาติของอายุขัย
ต้องไปซ่อมแซม
หรือย้อมแมวงานหินป้ายสุสานดังกล่าว
รวมทั้งงานแกะหินในธุรกิจของแกเอง
ที่เวลาแกะสลักหิน แล้วหินเกิดแตกร้าวขึ้นมา
จะหยอดกาวดังกล่าวแล้วรีบจับมุมให้แน่นไว้
จะยึดติดแน่นเหมือนสภาพเดิม
เหมือนกับที่ไม่มีการแตกร้าวมาก่อน
แม้ว่าตกหล่นบนพื้นอีก
หรือสกัดตรงจุดเดิมก็ไม่แตกแต่อย่างใด

แกเล่าเรื่อง ที่แกเคยไปกับหมอดูฮวงจุ้ยคนหนึ่ง
เจอศพคนตายแล้วไม่เน่าสองศพ
ศพแรก เป็นคนจีนในตลาดหาดใหญ่
ทำธุรกิจร้านทองรูปพรรณกับโรงแรมชั้นสาม
บนถนนสายสองซึ่งเป็นสายหลักของหาดใหญ่
ฝังอยู่ที่สุสานบ้านพรุหลายปีแล้ว
ครอบครัวมีปัญหาเรื่องทำมาหากินเรื่อยมา

เมื่อได้เชิญหมอฮวงจุ๊ยหลุมศพมาดู
พอหมอฮวงจุ๊ยดูหลุมศพแล้ว
หมอดูคนนี้ได้ท้าทายลูกหลานเลยว่า
ถ้าขุดศพขึ้นมาแล้ว
ศพเน่าผุพังหมดแล้ว
ให้ฝังแกลงไปได้เลย
เมื่อขุดศพขึ้นมาจริง
แม้ว่าฝังมากว่าสิบปีแล้วก็ตาม
ที่หน้าคนตายจะมีรอยเส้นดำพาดอยู่
เป็นเส้นเหมือนเงาสายไฟฟ้าพาดผ่าน

ตกลงลูกหลานต้องจ้างคนไทย/สัปเหร่อ
ให้ขูดเนื้อออกมาให้หมดให้เหลือแต่กระดูก
ก่อนจัดรูปร่างใหม่ให้เหมือนกับคน
เศษเนื้อและเครื่องในก็เอาไปเผาหรือฝังใหม่เสีย
แล้วย้ายหลุมศพไปฝังที่แห่งใหม่
ที่คลองหอยโข่งในสวนปาล์ม
ที่เป็นที่ดินส่วนบุคคล

เพราะคนจีนเชื่อว่าที่ฝังศพบางหลุม
ศพจะไม่เน่าเปื่อยตามธรรมชาติของการฝัง
เป็นที่ดินที่ไม่เป็นมงคล
เรื่องนี้เชื่อถือได้
เพราะเป็นศพของพ่อเพื่อนคนหนึ่ง
เป็นข่าวที่มีการพูดถึงกันมากในหาดใหญ่สมัยหนึ่ง

ส่วนหมอดูฮวงจุ๊ยหลุมศพคนนี้
ตอนนี้ไปทำมาหากินที่กรุงเทพฯ
กับเขตปริมณฑลเป็นหลัก
นัยว่าแกจบจากไต้หวันระดับปริญญาตรี
ก่อนหันมาศึกษาศาสตร์ทางด้านนี้
ค่าบูชาครูในการดูฮวงจุ๊ยหลุมศพ
ครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทขึ้นไป
ถ้าไปสอบถามคนในวงการเดียวกัน
น่าจะรู้จักว่าเป็นใคร
เพราะรู้จักกันดีว่าเป็นคนมาจากหาดใหญ่

อีกศพหนึ่ง
แกไปกับญาติพี่น้องของผู้ตายที่สุสานสะเดา
เป็นศพอดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์
ถูกยิงตายจากการปะทะกันที่ชายแดนไทยมาเลย์
แล้วนำศพกลับมาฝังในสุสานประเทศไทย
แต่แจ้งว่า ไม่ทราบสาเหตุการตายว่า ถูกใครยิงตาย
มีรอยกระสุนเต็มร่างผู้ตาย

แม้ว่าศพดังกล่าว
จะมีการฝังมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว
กล่าวคือ ในบางธรรมเนียมของคนจีนบางกลุ่ม/บางแห่ง
จะถือว่าคนตายไปเกิดใหม่แล้ว
สามารถรื้อหลุมศพ เพื่อย้ายกระดูกได้
เพื่อไปทำพิธีทางศาสนาพุทธ หรือพิธีกรรมของจีน
จะได้ไม่ต้องกลับมาไหว้ในพิธีเช็งเม้งอีก

สภาพศพที่แกกับลูกหลานคนตายเจอคือ
ตาสองข้างยุบหายไปแล้ว
แต่หน้าตายังดูอยู่เหมือนปกติ
ศพมีสภาพเปียกน้ำ
หรือชุ่มน้ำอยู่ครึ่งท่อนส่วนล่าง
ไม่เน่าเปื่อยรวมทั้งเสื้อผ้าด้วย

ญาติพี่น้องเลยต้องยกศพขึ้นมา
พร้อมกับวางบนสังกะสี
แล้ววางศพบนสังกะสี
จุดถ่านไฟเผากันตรงนั้นเลย
ใกล้กับบริเวณที่ฝังศพ
ก่อนนำกระดูกฝังตรงหลุมศพเดิมอีก
ไว้อีกยี่สิบปีค่อยมาขุดใหม่อีกครั้ง
เพราะถือว่ายังไม่ไปเกิดใหม่
ลูกหลานของผู้ตายรายนี้
มาเปิดร้านขายของที่หาดใหญ่
(แกไม่ยอมบอกสถานที่/ร้านลูกหลานผู้ตาย)

แกยังเล่าอีกว่า ศพที่สาม
เพื่อนแกเคยเจอที่จังหวัดตรัง
เป็นศพหญิงสาวตายมากว่าสามสิบปีแล้ว
แต่ศพไม่เน่าแต่อย่างใดเลย
สภาพศพเหมือนคนตายใหม่ ๆ
ยังสาวสวยอยู่อย่างไรอย่างนั้น
คนที่เกี่ยวข้องกับทำพิธีฝังศพเชื่อว่า
น่าจะเป็นบริเวณหลุมนั้นที่จะเป็นเช่นนั้น

แกเรียกว่า ซีนั้งตี่ หรือที่คนตาย
อะไรทำนองนั้นแหละ
ตกลงต้องนำไปเผาอีกครั้ง
หรือขูดเนื้อกับเครื่องในออกมามาเผา
หรือย้ายศพไปฝังที่หลุมฝังศพที่อื่น
ไม่ควรเป็นหลุมเดิมอีก
เพื่อให้ศพเน่าเปื่อยตามธรรมชาติ

นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง
ที่คนรุ่นใหม่ ๆ นิยมเผาศพ
แล้วไปลอยอังคาร
ตามที่หลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ
ท่านเคยเทศน์ไว้ก่อนมรณภาพนานแล้วว่า
วัดชลประทานรังสฤษฏิ์ จังหวัดนนทบุรี
"วัดของท่าน ตอนนี้ห้ามมาใส่บัว
หรือบรรจุเถ้ากระดูกญาติพี่น้อง
ไว้ตามรอบเสา รอบศาลา รอบวัด"
หลวงพ่อแกว่า
"เกะกะรกรุงรัง ไม่สวยงาม"

อีกอย่างตอนนี้ลูกหลานแต่ละคน
ต่างทำงานทำการกันห่างไกลกันมาก
การนัดรวมญาติเป็นเรื่องที่ลำบาก
ตายไปแล้ว ให้เผา
เผาเสร็จแล้วไปลอยอังคาร
ในแม่น้ำ ทะเล เกิดอยากคิดถึงวันไหน
ให้ไปดูแม่น้ำ ทะเลที่ไหนก็ได้
จะได้ระลึกว่า อีกไม่นานหนาเราก็คงเป็นเช่นนี้เอง
แบบคนที่เราลอยอังคารไป"

อีกเรื่องที่พบมาก็คือ
หลายครอบครัวในหาดใหญ่
ที่เจอปัญหาที่ว่าเวลาฝังศพเสร็จ
จะมีนายหน้าพาหมอดูฮวงจุ๊ยหลุมศพ
เที่ยวมาทำนายทายทักว่า
ทำฮวงจุ๊ยแบบนี้ หรือฝังที่นี้
จะมีปัญหาเซี่ยหรือชง (ชนหรือกระทบ)
กับลูกหลานคนนั้นคนนี้
จะทำให้เกิดอาเพศในครอบครัว
หรือไม่เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน

ถ้าเชื่อมากก็เรื่องมาก
เพราะต้องทำการรื้อใหม่ทำใหม่
ย้ายที่ฝังศพใหม่ ก็หลายตังค์
กว่าจะแก้ไขได้ลงตัวตามที่ทำนายทายทัก
เผลอ ๆ พี่น้องลูกหลานทะเลาะกันหมดทั้งบ้าน
เพราะแก้ตรงจุดนี้
อาจจะไปเซี่ยหรือชงกับคนโน่นคนนี้
กว่าจะแก้ไขให้ได้ดีกับทุก ๆ คนในครอบครัว
ก็จะต้องจ่ายกันอีกหลายเงินอยู่
หรือมากหมอมากความในที่สุด
ผลที่ตามมาก็คือ
หลายบ้านทำการเผาศพไปเสียเลย
จะได้หมดเรื่องหมดราวไป

เพิ่มเติม คือ ปกติการฝังศพของธรรมเนียมชาวจีน
มาจากหลักการเบญจธาตุ (ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง)
ที่ธาตุทั้งห้าต่างเกื้อกูลกัน
และทำลายล้างซึ่งกันและกัน

ดังนั้น
การที่ศพที่ไม่เน่าเปื่อยหลังจากการฝังศพแล้ว
ธรรมเนียมชาวจีนทั่วไป
จะถือว่าเป็นการผิดธรรมชาติและไม่เป็นมงคล
ยกเว้นแต่ศพของพระอรหันต์หรือนักบุญชาวจีน
(เคยพบแม่ชีชาวจีนไม่เน่าเปื่อยที่วัดถาวรวราราม-หาดใหญ่)
ซึ่งอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้

ดังนั้น
จะเห็นได้จากสารคดีต่างประเทศ
ที่แม้ว่าศพจะสวมหยกขาวหรือหยกต่าง ๆ
สภาพศพมักจะเสื่อมสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ
ไม่ใช่ไม่เน่าเปื่อย
แบบการทำมัมมี่ของทางอียิปต์หรือทางอินคา

บางตำนานจะถือว่า
การที่ศพไม่เน่าเปื่อยแสดงว่ายังห่วงใย
หรือยังติดตามดูแลลูกหลานญาติพี่น้องอยู่
จะมีผลต่อความเจริญก้าวหน้า
ความเป็นอยู่ของครอบครัวลูกหลาน

ในด้านที่ไม่ดีคือ
จะมีปัญหาตลอดเวลาทั้งด้านทรัพย์สินเงินทอง
หรือสุขภาพร่างกายของคนภายในครอบครัวหรือลูกหลาน
ดังนั้นถ้าเจอศพที่ไม่เน่าแล้ว
ตามความเชื่อถือเดิมแบบเบญจธาตุ
หรือหลักการธรรมชาติของคนจีน
ลูกหลานชาวจีนจะถือว่าไม่เป็นมงคลอย่างหนึ่ง
ต้องทำให้เสื่อมสภาพโดยเร็วที่สุด
คือ ทำให้ศพกลายเป็นธาตุดิน

ธรรมเนียมดังกล่าว
อาจจะขัด ๆ กับของชาวไทย
ที่ถือว่าศพที่ไม่เน่าเปื่อย
เป็นของขลังหรือเป็นกุมารทอง เป็นต้น

ในยุคก่อนการล้างป่าช้าของคนจีน
ถ้าพบศพแบบนี้จะมีการทำให้เสื่อมสภาพ
โดยการลอกเนื้อ ลอกเครื่องในออกให้หมด
แล้วนำไปฝังในหลุมรวม
แบบป่าช้าวัดดอนในสมัยก่อน

แต่ปัจจุบันนิยมเผาให้หมด
เพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ
หรือนำไปลอยอังคารในทะล
แทนที่จะเก็บรักษาไว้บูชา
เหมือนบางแห่งในปัจจุบัน

ส่วนที่ภาคใต้ก็มีพระสงฆ์หลายรูป
ที่มรณภาพแล้วไม่เน่าเปื่อย
เช่น หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์(จันดี)
หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่จังหวัดชุมพร
หลวงพ่อเขียว วัดหรงบน ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
ในส่วนนี้ถือว่าเป็นข้อยกเว้นในธรรมเนียมของไทยกับของจีน

ส่วนการทำบุญให้คนตายของชาวไทยปักษ์ใต้(ภาคใต้)
สมัยก่อนจะมีสามวันหลัก คือ
วันสงกรานต์
วันบุญเดือนสิบ
วันครบรอบวันตายของผู้ตาย
หรือแล้วแต่ลูกหลานตกลงกัน
หรือวัดที่ไปบรรจุกระดูกกำหนดไว้ประจำปี

บางแห่งถือเป็นธรรมเนียมว่า
จะนัดหมายวันเพ็ญเดือนไหน
มาทำบุญร่วมกันให้ทวด ปู่ย่า ตายาย
ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมในวันนั้นรวมหมดเลย
เช่น ของชาวระโนด วันสหญาติ หรือบางวัด เป็นต้น

ทำให้คนปักษ์ใต้บางจังหวัดเช่น นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา
แม้ว่าอยู่ที่ภาคเหนือ ภาคอีสาณ หรือภาคกลาง
ต้องนัดหมายกันไปทำบุญเดือนสิบ (วันชิงเปรต)
ที่วัดไหนสักแห่งหนึ่ง เช่น ที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่
โดยเฉพาะบุญเดือนสิบสำคัญที่สุด
เพราะเป็นวันที่ต้องทำบุญ
ให้กับบรรพบุรุษที่เป็นเทวดาหรือเปรต
ได้มารับส่วนบุญส่วนกุศลจากลูกหลาน
หรือบรรพบุรุษที่เสียชีวิตแล้ว
จะได้มาอวยพรให้กับลูกหลานในวันชิงเปรต

ส่วนถ้าอยากทราบรายละเอียด
ประเภทศพที่ไม่เน่าเปื่อย
น่าจะไปดูได้ที่พิพิธภัณฑ์นิติวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลศิริราช
ทราบว่ามีเก็บอยู่จำนวนมาก
ลองสอบถามอาจารย์ที่ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
จะทราบรายละเอียดมากกว่านี้

แต่ที่เรียนมาสมัยก่อนวิชานิติเวชวิทยา
สรุปคร่าว ๆ ว่า ตายในบริเวณที่มีเชื้อโรคต่ำมากกว่าเกณฑ์ปรกติ
เช่น ในถ้ำ ป่าเขา หรือ แห้งไปเลยในที่ร้อนจัด ๆ หรือหนาวจัด ๆ
ตามทะเลทราย เทือกเขาแอลป์ ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้
หรือมีสารเคมีบางอย่างในดิน/น้ำ
แถบนั้นรักษาสภาพศพไว้ได้ อย่างแถบยุโรปตอนเหนือ
ยกเว้นแต่กรณี การใช้น้ำยาเคมีแบบการทำมัมมี
หรือแบบสมัยใหม่ที่แช่แข็ง เป็นต้น

ส่วนศพของพระภิกษุ/แม่ชี ที่ไม่เน่าเปื่อย
ขอยึดหลักของพระพุทธศาสนาคือ อจินไตย
ไม่ควรรับรู้ ไม่ควรสนใจ เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อ
การบรรลุมรรคผลนิพพานแต่ประการใด
แถมยังทำให้ต้องครุ่นคิดมากปวดหัวเปล่า ๆ

ทุกชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง

เทศนาของหลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ

เกี่ยวกับการลอยอังคารแทนการบรรจุไว้ในที่ต่าง ๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ้านรังนกนางแอ่น(กินรัง)

ขอโทษทันทีเมื่อส่งอีเมล์ผิดพลาด