ครูประจำชั้น ป 5 ก.(ทวิบท)

ครูที่ยังจำได้ชั้น ป.5.ก.

ครูภาษาอังกฤษเป็นลูกจีนเกิดในประเทศไทย
เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนแสงทองวิทยารุ่นแรก
และนับถือคริศตศาสนานิกายโรมันคาทอลิค
ขอใช้ชื่อนามแฝงว่า ครูแสง ก็แล้วกัน
เพราะแกยังมีชีวิตอยู่และเพื่อนบ้านของแกก็ยังใช้วิถีชีวิตอยู่ใกล้เคียงกัน
ครูแกมีความขยันมากโดยรับผิดชอบงานด้านธุรการของโรงเรียน
แต่ระหว่างเวลาช่วงพักก็จะช่วยญาติพีน้องค้าขายอาหารในโรงเรียน
ยามว่างก็มาสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนประจำชั้นป.5 ก.
แม้ว่าแกจะพร่ำสอนเด็กนักเรียนว่า คำว่า Master ต้องอ่านว่า มาสเตอร์
แต่เด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ก็จะพูดกันแต่ว่า มัสเซ่อร์
จนเป็นที่รู้กันในหาดใหญ่ว่าถ้าพูดคำว่า มัสเซ่อร์ มักมาจากโรงเรียนนี้
คงเหมือนกับภาษาฝรั่งเศส Monsieur
ถ้าคนเรียนภาษานี้จะอ่าน เมอร์ซิเออร์
แต่คนแปลหนังสือบางคนจะแปลตรงตัวว่า มองซิเออร์ เป็นต้น
และที่ตลกอย่างคือ ชื่อครูใหญ่จะมีชื่อเรียกกันว่า การ์เดน Garden
เพราะแกมีชื่อแบบคนไทยดั้งเดิมคือชื่อ สวน
ครูใหญ่คนนี้เคยเป็นลิเกเก่ามาก่อน
ทำให้สามารถแต่งกลอนได้ไพเราะ
และเป็นคนแต่งเพลงประจำโรงเรียนเช่นกัน

ครูแสงสอนภาษาอังกฤษเล่ม Praticle English
ถ้าจำไม่ผิดแต่งโดย คาร์ดินัล มีชัย กิจบุญชู
เป็นอะไรที่ยากมากบทแรกก็การใช้ a an the
ปรากฎว่ามียกเว้นของยกเว้น
เวลาออกข้อสอบก็มักจะออกข้อยกเว้นของยกเว้น
ผลก็ตกกันเป็นระเบียบ มีผ่านก็น้อยมากเป็นต้น
และการเขียนก็ต้องตาม format โรงเรียนฝรั่งคือ
เขียนตัวอักษรเอียงแบบคัดลายมือ ไม่ใช่แบบเป็นตัว ๆ ของอเมริกัน
ขึ้นต้นก็ต้องมีค่ำว่า Exercise ก่อนแล้วตามดัวยโจทย์และคำตอบ
โรงเรียนแสงทองวิทยาเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ตอนป. 1 แล้ว
ทำให้นักเรียนที่เรียนมาตั้งแต่ ป.1 จะไม่ค่อยมีปัญหาในการเขียนแบบนี้

ผลจากการคัดแบบตัวเขียนก็มีข้อดีอย่าง
คือเวลา lecture เป็นตัวอักษรอังกฤษก็จะจดได้ง่ายและเร็ว
แต่เวลาเขียนอธิบายในปัจจุบัน
เด็กนักเรียนรุ่นใหม่จะอ่านไม่ออกหรือไม่รู้เรื่อง
มีครั้งหนึ่งมีปัญหากับตรวจคนเข้าเมืองที่ฮ่องกง
ปัญหา คศ.ที่แจ้งเข้าไม่ตรงกับ Passport
เพราะไม่ได้ตรวจสอบก่อนรับหนังสือคืน
เลยมั่วว่าต้องแปลงจาก พ.ศ.เป็น คศ. เลยผิดพลาด
ฟัง ตม.ฮ่องกง พูดก็พอเข้าใจ
แต่เวลาดพูดกลับไปแล้ว ตม.ไม่เข้าใจ
ก็เลยเขียนให้อ่านแทน ตม.ก็ผ่านให้
เพราะเข้าใจกันว่าภาษาเขียนแบบนี้
ต้องเป็นพวกมีระดับการศึกษาพอสมควร
จึงจะอ่านออกและเขียนได้แบบนี้เป็นต้น

ต่อมาจากเงินเก็บหอมรอมริบในการขายข้าวที่โรงเรียน
แกก็ได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งใกล้ ๆ กับโรงเรียนและติดกับบ้านไม้ชั้นเดียว
ที่ทำเป็นร้านขายขนมเด็กเล่นและน้ำดื่มทั่วไป
ช่วงแรกก็ไม่มีอะไรเพราะเป็นบ้านเก่าชั้นเดียวเหมือนกัน
ต่อมาแกก็สร้างบ้านตึกสองชั้นขึ้นมา
ปัญหาก็เริ่มตามมาตั้งแต่ของตกหล่นตกใส่บ้านข้างเคียงเวลาก่อสร้างเป็นต้น
หรือปัญหาฝุ่น เศษปูน เสียงการทำงานรบกวนบ้านข้างเคียง
ซึ่งหลังคาก็เป็นแบบสังกะสีหรือมุงจากบางส่วน
มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่อย
เถ้าแก่ข้างบ้านนี้เป็นแบบคนจีนรุ่นโบราณเหมือนหนังกำลังภายใน
ไว้หนวดเคราสีขาวยาวและชอบดูดกล้องยาจีนแบบโบราณด้านยาว
ไม่ค่อยพูดจาปราศรัยกับลูกค้าเท่าไรนัก
แต่ชอบทะเลาะกับด่าทอกับครูแสงเรื่อย ๆ มา

แม้ว่าฐานะทางร้านเถ้าแก่ข้างบ้านครูแสงในช่วงแรกจะไม่ดีมากนัก
แต่แกก็มีลูกชายสองคน คนโตคนแรกต้องออกมาช่วยแกทำการค้าขาย
ตั้งแต่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม โดยรุนรถเข็นขายของเด็กเล่น
แต่ก็ขยันมากพยายามอ่านและทำความเข้าใจหนังสือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
จนสามารถสอบเทียบได้และสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬา ฯ ได้
ในช่วงขายขนมแม้ว่าแกจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ
แต่ก็ตาไวมากเวลามีเด็กนักเรียนแอบหยิบของแกแล้วไม่จ่ายเงิน
แกจับได้ก็จะพาไปหาพ่อแม่ของเด็กแจ้งให้ทราบเรื่องนี้แทนการส่งตำรวจ
ผลทำให้ร้านรถรุนของแกค่อนข้างจะปลอดจากอาชญากรรม
สักพักใหญ่ ๆ ครอบครัวเถ้าแก่คนนี้
ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงรายการขายของชนิดใหม่ขึ้นมาแทน
โดยขายลูกชิ้นปิ้ง ไส้กรอกปิ้ง โดยมีน้ำจิ้มสูตรของแกเอง
ทำให้ลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิม แต่ร้านของแกมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ
มีแมลงวันมากเป็นพิเศษ จนมีชื่อเรียกกันล้อเลียนว่า
ร้านอหิวา หรือร้านชุมนุมแมลงวัน เป็นต้น

แต่ร้านของแกก็ขายดีมาก
จนกระทั่งแกสามารถส่งลูกชายคนโตแกไปเรียนต่อ
ทีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ในช่วงหลัง
แต่โชคร้ายลูกชายแก็จมน้ำตายในที่สุด
ผลจากการนี้ทำให้แกโทษว่า
เพราะบ้านของครูแสง สร้างบ้านสูงกว่าบ้านของแก
ทำให้ชงกับบ้านของแก (ชง ภาษาจีนเป็นอริกับปรปักษ์)
มีส่วนที่ทำให้ลูกชายคนโตของแกตาย

เรื่องยังไม่เท่าไรนัก
แต่ต่อมาภริยาคนแรกของครูแสงตายไป
ไม่นานนักแกก็แต่งงานใหม่อีกครั้ง
ก็เชิญแขกและเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงไปร่วมงานแต่งงานของแก
ก็ต้องเชิญเถ้าแก่คนนี้ไปด้วย
วันแต่งงานเถ้าแก่คนนี้ก็ไปร่วมงานแต่งงานอีกครั้งของครูแสง
แต่แกใส่เสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นสีดำไปงานแต่งงาน
เมื่อถึงวาระที่มีการแจกของขวัญวันแต่งงานถึงโต๊ะดังกล่าวแล้ว
เถ้าแก่คนนี้ก็บริภาษสาปแช่งครูแสงว่า
ขอให้ไม่ประสบความเจริญและกล่าวโทษว่า
เพราะการสร้างบ้านของครูแสงชงกับบ้านแก
ทำให้บ้านแกเดือดร้อนและลูกชายคนโตแกต้องตายไป
แม้ว่าเป็นการกระทำที่ดูว่าไร้มารยาทอย่างมาก
แต่ก็ทำอะไรห้ามปราบอะไรไม่ได้แล้ว
ครูแสงก็ต้องนิ่งเงียบหรือยอมรับโดยปริยาย
งานเลี้ยงก็เลิกลากันไปแบบกร่อย ๆ
จริง ๆ แล้วการสาปแช่งหรือประทุษร้ายต่อผู้อื่น
พุทธวจนะก็ได้ตรัสไว้ว่า
โย อปฺปทุฏฺฐสฺส นรสฺส ทุสฺสติ
สุทฺธสฺส โปสสฺส อนงฺคณสฺส
ตเมว พาลํ ปจฺเจติ ปาปํ
สุขุโม รโช ปฏิวาตํว ขิตฺโต.
ผู้ใดประทุษร้ายต่อนรชนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสดุจเนิน,
บาปย่อมกลับถึงผู้นั้น ซึ่งเป็นคนพาลนั่นเอง
เหมือนธุลี อันละเอียดที่ เขาซัดทวนลมไปฉะนั้น.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=9

ต่อมาเถ้าแก่คนจีนคนนี้ก็เก็บหอมรอบริบเงินได้จำนวนมาก
ก็สร้างบ้านใหม่ใหญ่กว่าเดิมเป็นอาคารสี่ชั้นเพื่อข่มบ้านครูแสง
เมื่อสร้างบ้านเสร็จแล้วไม่นานนัก
เกิดเหตุการณ์หกตุลา ลูกชายของแกอีกคนก็ตายในเหตุการณ์วันดังกล่าว
แกยิ่งเสียใจหนักขึ้นไปอีก ไม่นานก็ตรอมใจตายตามไป

ส่วนครูแสงต่อมาก็สร้างบ้านเพิ่มเติมขึ้น
ให้สูงกว่าเดิมแต่ก็ยังเตี้ยกว่าบ้านเถ้าแก่คนจีนหลังนั้น
เคยพบแกขับรถมอเตอร์ไซด์เวสป้า
ไปส่งลูกสาวแกที่เรียนโรงเรียนธิดานุเคราะห์
โรงเรียนเดียวกันกับลูกสาว
แต่ลูกสาวแกเรียนอยู่ชั้นสุงกว่า
ต่อมาสักพักก็ไม่เห็นแกขับรถเวสป้าไปส่งอีก

มาเจอแกอีกครั้งที่งานศิษย์เก่าแสงทองวิทยา
ก็เลยสอบถามเรื่องนี้ แกก็เล่าให้ฟังว่า
ลูกสาวแกขับรถจักรยานยนต์ไปเรียนเองได้แล้ว
เลยไม่ได้ไปส่งที่โรงเรียนอีกแต่อย่างใด
แกเลยเล่าต่อว่าเมื่อเดือนที่แล้ว
รถเวสป้าของแกหายไป
แกก็พยายามติดตามและสอบถามดู
ปรากฏว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเจอเด็กวัยรุ่นขับรถของแกอยู่
พร้อมติตป้ายทะเบียนและป้ายวงกลมภาษาใหม่(แต่ของปลอม)
เลยไปสอบถามก็บอกว่าซื้อมาจากเพื่อนที่สะเดา
แต่ไม่ยอมบอกว่าซื้อมาจากใครที่ไหน
แกเลยขอรับรถคืนแต่เด็กวัยรุ่นนั้นขอให้แกช่วยค่าทำสีใหม่
อีกเป็นเงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน
แกก็ยอมจ่ายให้ไป
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่ยอม เผลอ ๆ จับฐานลักทรัพย์อีก
เลยบอกแกว่า ถ้าเบื่อเมื่อไรก็บอกด้วย จะได้ซื้อมาใช้งาน

นี่คือความทรงจำถึงครูภาษาอังกฤษ
ที่ทำให้รู้ว่า ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว
(ที่เหลือยากมากส์ศ์ส์)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ้านรังนกนางแอ่น(กินรัง)

เรื่องเล่าจากคนทำป้ายสุสานจีน

ขอโทษทันทีเมื่อส่งอีเมล์ผิดพลาด