วจีพิฆาตของผู้ประสงค์ดีแต่หวังร้าย

วจีพิฆาตของผู้ประสงค์ดีแต่หวังร้าย

เรื่องนี้ต้องย้อนตำนานในอดีต
ได้รับการบอกเล่ามาอีกทีหนึ่ง
สมัยหนึ่งมีครอบครัวหนึ่งบ้านอยู่หาดใหญ่
เป็นตระกูลบ้านนอกทั่วไปในท้องถิ่น
สามีมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างทั่วไป
บางครั้งก็รับเหมาก่อสร้างไปถึงจังหวัดลพบุรี
ส่วนภริยาค้าขายที่บ้านกับบุตรสาวคนโต
ฐานะก็จัดว่าปานกลางหรือพอมีจะกินในระดับบ้านนอก
มีที่ทางและสวนยางพาราพอเลี้ยงชีพจำนวนหนึ่ง

ส่วนญาติฝ่ายสามีตระกูลบ้านนอก
มีร้านค้าทอง ที่บ้านหม้อ พาหุรัด
เป็นร้านทองขนาดห้องแถวเดียว
โดยมีศักดิ์เป็นอาของคนบ้านนอก
เพราะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับทวดของตระกูลบ้านนอก
ทั้งสองตระกูลนี้แรกเริ่มเดิมทีใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก
จนกระทั่งมีการใช้นามสกุลร่วมกัน

ลูกหลานของทั้งสองตระกูลต่างไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ
มีครั้งหนึ่งลูกสาวของตระกูลบางกอก
มาเรียนที่ปีนัง มาเลย์
สมัยนั้นถือ ว่าโก้มากและเป็นการไปเรียนเมืองนอก
อดีตนางสาวจักรวาล อาภัสรา หงสกุล
ก็ผ่านการเรียนที่ปีนัง มาก่อนเช่นกัน
ช่วงหยุดเทอมก็มักจะมาพักอาศัยที่ บ้านตระกูลบ้านนอก
ส่วนลูกชายตระกูลบ้านนอก
ช่วงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
ก็ไปพักอาศัยอยู่ที่ตระกูลบางกอก
และครอบครัวลูกหลานบ้านนอกเวลาขึ้นกรุงเทพฯ
ก็มักจะไปพักอาศัยที่บ้านดังกล่าวเสมอ

ต่อมาลูกชายคนเดียวของตระกูลบางกอก
ก็ได้แต่งงานกับอดีตนิสิตาจุฬาฯ
ที่ถูกรีไทร์จากคณะครุศาสตร์
แล้วกลับไปอยู่บ้านที่อำเภอเมืองจังหวัดยะลา
แต่ก็มี แม่สื่อแม่ชักชักนำจนรู้จักกับลูกชายคนนี้
และก็เข้าพีธีสมรสกัน โดยยังอยู่กินที่บ้านหม้อต่อมา

เมื่อลูกชายอีกสองคนของตระกูลบ้านนอก
ขึ้นไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ
ก็ได้ไปอยู่ที่หอพักข้างนอก
ส่วนพี่ชาย คนที่อยู่ที่บ้านพักที่บ้านหม้อ
เมื่อสำเร็จมัธยมปลายก็ย้ายออกไปอยู่ที่ หอพักซีมะโด่ง
เพื่อความสะดวกในการเข้าออกและเรียนหนังสือ

ช่วง แรก ๆ พ่อแม่ที่หาดใหญ่ก็มักจะบอกว่า
ถ้าเดือดร้อนการเงินเล็กน้อยก็ไปขอยืมกับเลาเจ็ก
(ปู่น้อยหรืออาของพ่อได้)
และให้ลงบัญชีไว้จะไปชำระให้ในเร็ววัน
จริง ๆ ถ้าโทรศัพท์ขอมาที่บ้านเลยก็ได้
แต่เป็นอุบายที่ อยากจะให้ลูกหลานได้สนิทสนมกับบ้านนี้
และได้ไปเยี่ยมเยืยนญาติผู้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอด้วย
ส่วนมากก็จะยืมเงินไม่เกินสี่ซ้าห้าพันบาทเท่านั้น
และ ไม่เกินเดือนทางบ้านนอกก็จะรีบโอนคืนไปให้

ไม่ช้านานนักช่วงปีที่สามหลังจาก
ลูกชายทั้งสามคนได้ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ
ญาติของฝ่ายหญิงที่ยะลาที่แต่งงานกับบุตรชายที่บางกอก
ก็แวะมาเยี่ยมเยียนที่ครอบครัวบ้านนอกที่หาดใหญ่
แล้วแนะนำตนเองกับความเกี่ยวดองของการเป็นญาติกัน
มีการพูดคุยบ้างตามประสาของญาติห่าง ๆ

แต่ไม่นานนักก็มีถ้อยคำที่พูดออกมาจากคนยะลาว่า
เงินทองที่หยิบยืมที่กรุงเทพฯ ให้ใช้ ๆ บ้าง
เพราะรู้สึกว่าจะไปยืมสมำเสมอ และไม่ค่อยได้ใช้หนี้เลย
เลยมีการสอบถามว่า รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
คนที่ยะลาก็บอกว่า แฟนของเจ็กที่กรุงเทพฯ ฝากทวงมา
ก็ไม่รู้ว่าเป็นการพูดแบบปากพล่อย
ไม่รู้จะคุยอะไรก็คุยเรื่อยเปื่อย
หรืออยากแสดงออกว่า มีความรู้จักสนิทสนมกับญาติที่นั่นมาก
(จริง ๆ คนเราถ้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ก็อย่าพูดเสียเลยจะดีกว่า จะได้ไม่มีปัญหา)

ทางบ้านนอกก็นิ่งเฉยไม่ว่าอะไร
มีการรับทราบตามมารยาท
เมื่อคนที่ยะลากลับไปแล้ว
ก็ได้โทรศัพท์ถามอาที่กรุงเทพฯ ว่า
ลูกชายทั้งสามไปยืมเงินทั้งหมดเท่าไร
ปู่น้อยที่บางกอกก็บอกว่า
เพิ่งยืมไปเพียงสี่พันบาทเอง
แล้วไม่ต้องรีบคืนหรอกเพราเพิ่งจะยืมไม่ถึงเดือนเลย
ทางหาดใหญ่ก็บอกเดี๋ยวจะโอนคืนไปให้

เมื่อโอนเงินคืนกลับไปทั้งหมดแล้ว
ก็โทรศัพท์บอกลูกชายที่อยู่หอพักซีมะโด่ง
บอกว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปยืมเงินที่บ้านนี้อีก
ไม่อยากรบกวนอีก เกรงใจบ้านเขา
แม้ว่าลูกชายคนนี้จะเคยอยู่กิน
พักอาศัยที่บ้านนี้กว่าสองปีช่วงเรียนมัธยมปลายก็ตาม
และฝากบอกให้กำชับน้องชายทั้งสองด้วยว่า
ถ้าเงินไม่พอใช้ให้โทรศัพท์มาขอที่บ้านเลย
จะรีบโอนไปให้ไม่ต้องไปยืมที่ บ้านหม้ออีก

หลังจากนั้นไม่นาน
ความเหินห่างและไม่สนิทสนมระหว่างสองครอบครัว
ก็เดินห่างกันเป็นเส้นขนานเหมือนสายทางรถไฟ
ที่มีเส้นทางแยกทิศเหนือแยกทิศใต้ออกห่างกันไป
แม้ว่าทางปู่น้อยกับอามักจะโทรศัพท์มาถามว่า
ทำไมมากรุงเทพฯ ไม่มาพักบ้าง
หรือหลานทั้งสามเห็น ไม่มาหาเลย
ก็มักจะได้คำตอบว่า ลูกชายเรียนหนักเลยไม่มีเวลาไปหา
และโอนเงินให้เพียงพอกับการอยู่กินแล้ว
กอปรกับงานก่อสร้างก็เร่งงานมาก
และต้องไปดูแลสวนยางเลยไม่มีเวลาพักนาน
เมื่อขึ้นกรุงเทพฯและไม่อยากรบกวน

ครั้ง สุดท้ายก็กว่ายี่สิบปีแล้ว
ที่อาฝ่ายชายที่บ้านหม้อได้พบปะกับญาติที่บ้านนอก
โดยเดินทางมาร่วมงานศพของพ่อตระกูลบ้านนอกที่มีศักดิ์เป็นพี่ชาย
ส่วนงานปู่น้อยครอบครัวบ้านนอก
ไม่ได้มีการไปร่วมงานเพราะแกสั่งให้เผาอย่างรวดเร็วมาก
และไม่ให้บอกญาติพี่น้องคนอื่นเลย
ในงานศพก็มีการพูดคุยทักทายกันบ้างตามมารยาท
แต่ก็มีความเหินห่างและไม่สนิทสนมเหมือนเดิมอีกเลย

สอบถามลึก ๆ กับครอบครัวบ้านนอก
ได้ความว่า ศักดิ์ศรีบางครั้งกินไม่ได้
แต่มีไว้ก็เท่ห์เหมือนกัน
เรื่องหนี้สิน ถือเป็นเรื่องส่วนตัวและเรื่องของครอบครัว
ครอบครัวรับรู้ได้เพื่อได้ปรับตัว และชดใช้คืนให้ในภายหลัง
แต่การเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ของใคร
ก็ไม่ควรแพร่งพรายหรือบอกให้กับคนอื่นทราบ
เพราะเป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างมากในเรื่องดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติสนิทรับทราบ
แล้วมาทวงถามหนี้ที่บ้านแทนเจ้าหนี้
ถือว่าเป็นเรื่องเสียมารยาท และเสียศักดิ์ศรีอย่างแรงทีเดียว

เรื่องดังกล่าวจะโทษอาที่กรุงเทพฯ โดยตรงก็ไม่ได้
เพราะคงเป็นการพูดคุยกันภายในฉันท์สามีภริยา
แต่ภริยาก็คงมาเล่าสู่กันฟังให้กับพี่น้องที่ยะลา
แล้วพี่น้องที่ยะลาก็มาพูดจาตามประสาชาวบ้าน
ที่อยากอวดรู้หรืออวดว่ามีความสนิทสนมมาก
หรืออยากจะพูดตามประสาคนชอบพูด
ทำให้เกิดเรื่องราวดังกล่าวขึ้นมา
แต่ทางครอบครัวบ้านนอกก็ถือศักดิ์ศรีมากเช่นกัน
ถ้ามีการพูดคุยสอบถามปรับความเข้าใจกัน
เรื่องคงจะไม่ยืดเยื้อและเรื้อรังจนเกินเลยกว่าจุดเดิมแล้ว

เรื่องนี้ในชีวิตจริงแล้วคนบางคนพูดจา
ฟังเหมือนประสงค์ดีแต่หวังร้าย
หรือ บางครั้งจะเป็นการพูดเล่นหยอกเย้าก็ตาม
แต่ side effect ที่เกิดขึ้น
คณานับประการต่อครอบครัวหลายครอบครัว
ทำให้หมางเมินไปเลยและหรือแตกแยกกันไปเลย
เพราะก่อนพูดคนพูดเป็นนายของคำพูด
แต่เมื่อพูดไปแล้วเจ้าของคำพูด
ก็จะเป็นทาสของถ้อยคำตนเอง
หรือบางถ้อยคำเหมือนพิษงูเห่าที่พ่นใส่คนได้

เขียน ขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ
ก่อนที่จะเลือนหายไปจากกาลเวลาที่กลืนกินทุกสิ่ง ทุกอย่าง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ้านรังนกนางแอ่น(กินรัง)

เรื่องเล่าจากคนทำป้ายสุสานจีน

ขอโทษทันทีเมื่อส่งอีเมล์ผิดพลาด