เผาสัญญาเงินกู้

เผาสัญญากู้เงิน

เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่ามาอีกทีหนึ่ง
คำวันหนึ่งมารดาของเพื่อนอายุกว่าเก้าสิบปีแล้ว
นึกขึ้นมาได้ว่ามีเอกสารหลักฐานสัญญากู้เงิน
ที่บัดดี้(เพื่อนซี้)ของสามีนำมาฝากไว้ที่บ้านกว่ายี่สิบห้าปีแล้ว
และจำได้ว่าวางไว้ที่ตู้เก็บเสื้อผ้าแบบโบราณที่บ้าน
มีไม้กระดานทับบนซ่อนอยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่ง
ถ้าไม่สังเกตจะมองไม่ออกว่ามีการเก็บเอกสารไว้ข้างใน
(ว่าง ๆ จะไปถ่ายรูปมาให้ดู)

แกเลยสั่งให้ลูกชายไปค้นมาให้เจอ
ส่วนแกขึ้นไปค้นเองไม่ไหวแล้ว
เพราะตู้ดังกล่าวตั้งอยู่บนชั้นสามของบ้านตึกแถว
ลำพังตัวแกเองก็เดินขึ้นบันไดเองไม่ได้แล้ว
ถ้าแกจะขึ้นไปจริง ๆ ก็ต้องหาคนมาแบกมาหามแกขึ้นไป
ลูกชายก็เลยบอกแกว่า ไม่มี ๆ หาไม่เจอ ๆ
แกยืนยันว่ามี และต้องมี
แถมงอแงและงอนเป็นการใหญ่
ตามประสา สว. (ผู้สูงวัย) ที่ต้องการการตามใจ
สุดท้ายลูกชายเลยต้องเกณฑ์ลูกหลานในบ้าน
ทำการรื้อทำการค้นหาจนเจอแล้วนำไปให้แก
แกนั่งอ่านอยู่สักพักใหญ่ ๆ
แล้วก็จัดการเผาทิ้งสัญญากู้เงินฉบับนั้นทั้งหมดเลย

ตอนแกอารมณ์ดี ๆ อยู่เลยสอบถามแกได้ใจความว่า
เพื่อนซี้(สนิท)ของสามีมาฝากไว้ที่บ้านกว่ายี่สิบห้าปีแล้ว
บอกว่าช่วยเก็บรักษาไว้ให้ดีด้วย
เพราะเป็นสัญญากู้เงินที่ได้จดบันทึกไว้ว่า
ใครบ้างเป็นคนที่กู้เงินของแกแล้วไม่จ่ายหรือหนีไปแล้วบ้าง
เลยถามแกว่าทำไม "ไม่เก็บไว้ที่บ้านของเพื่อนสามีแกเอง"
ก็ได้รับคำตอบจากแกว่า
เป็นการทำสำเนาเอกสารส่วนหนึ่งไว้ในที่คิดว่าจะปลอดภัย
และบางรายชื่อเจ้าหนี้เห็นแล้วก็ช้ำใจในรายชื่อดังกล่าว

เพิ่มเติมเอกสารกู้เงินของคนจีนสมัยก่อน
จะระบุชื่อนามสกุลภาษาจีนของคนกู้เงิน
จำนวนเงินที่กู้เงินพร้อมอัตราดอกเบี้ย
ไม่มีหลักฐานลงลายมือชื่อของผู้กู้ตามกฎหมายไทยมาตรา 653
ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะกู้ยืม
แต่เป็นสัญญาสุภาพบุรุษหรือสัจจะของคนกู้เงิน
หรือเป็นการรักษาคำพูดแบบนักเลงจีนโบราณ
(ตามแบบหนังสือกำลังภายใน)
เมื่อรับปากว่าจะชดใช้ให้ในภายหลัง ก็ต้องหาทางชดใช้ให้ได้
และถือว่าเป็นหนี้สินที่ลูกหลานควรจะต้องรับผิดชอบด้วยส่วนหนึ่ง

ย้อนเวลากลับไปตอนที่สามีของแกรับฝากไว้นั้น
เพื่อนของสามีและสามีของแกทั้งคู่ก็อายุหกสิบกว่าปีแล้ว
เมื่อได้รับเอกสารสัญญากู้เงินดังกล่าวมา
ก็วางไว้ที่ตู้ดังกล่าวและไม่เคยเปิดออกมาดูอีกเลย
จนเวลาล่วงเลยมากว่ายี่สิบห้าปี
ต่อมาอีกราวห้าหกปีหลังจากการรับฝากสัญญากู้เงินไว้
เพื่อนสนิททั้งคู่ก็ถึงแก่กรรมไปตามวัย
เหลือแต่แกอยู่ต่อมาเพื่อรักษาความลับดังกล่าวไว้

เมื่อแกเกิดนึกถึงและระลึกขึ้นมาได้ก็เลยให้ค้นหามาให้เจอ
แล้วก็จัดการฌาปนกิจสัญญากู้เงินทั้งหมด
เพราะผู้ให้กู้ก็ตายไปแล้ว ส่วนคนที่กู้เงินทั้งหลายทั้งปวง
ผู้กู้บางคนก็อายุไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบปีขึ้นไปแล้ว บางคนก็ตายไปแล้ว
บางคนแกก็รู้จักบ้าง บางคนแกก็ไม่รู้จักเลย
ถ้าอยู่จนถึงทุกวันนี้หลายรายคงจะไม่มีปัญญาจ่าย
หรือจำไม่ได้แล้วว่ากู้เงินมาจริงหรือไม่

อีกอย่างถ้ารื้อเอาสัญญากู้เงินคืนให้ลูกชายของเจ้าหนี้
ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย(เจ้าหนี้)
ก็จะกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตอีก
เพราะคงลำดับความเป็นมาความเป็นไปอีกมากมาย
รวมทั้งประจักษ์พยานหลักฐานว่า
มีการจ่ายเงินแล้วหรือยัง
ก็ยังไม่แน่ใจว่าจ่ายแล้วหรือไม่
หรือมีสำเนาอีกชุดหรือไม่
ว่ามีการจ่ายเงินกันแล้วหรือยัง
เวลาล่วงเลยมากว่ายี่สิบห้าปีแล้ว
หนี้ก็คงจะเพิ่มพูนกันบานตะไท
ในยอดหนี้ดอกเบี้ยรวมกับเงินต้นดังกล่าว

กอปรกับลำพังตัวลูกหนี้เองและลูกหลานของลูกหนี้
ก็คงไม่อยากรับผิดชอบอีกในหนี้เหล่านี้อีก
เพราะดอกเบี้ยสมัยนั้นคิดกันในอัตราแบบรับซื้อลดเช็ค
คือคิดเป็นรายวัน หมื่นละเจ็ดบาทต่อวันสำหรับรายนอก
(หรือประมาณร้อยละ 25.55 ต่อปี)
เอา 72 ตั้งแล้วหารด้วยอัตราดอกเบี้ย
(เป็นเลขสูตรมหัศจรรย์)
จะใช้เวลาเพียง 2.8 ปีก็ทบต้นแล้ว
เช่น กู้เงินมา 100,000.-บาท ครบกำหนด 2.8 ปี
ดอกเบี้ยก็จะเท่ากับ 100,000.-บาทเท่ากับเงินต้นที่กู้มา
ถ้าคิดแบบทบต้นเหมือนกับบัญชีเดินสะพัด
หรือบัญชีกู้เบิกเงินเกินบัญชีของธนาคารพาณิชย์
ก็คงจะเป็นยอดหนี้บานตะไททีเดียว
(แต่ถ้าเป็นเงินฝากประจำก็โชคดีมากเช่นกัน)
ส่วนรายสนิทสนมกับแก ก็จะคิดเพียงหมื่นละห้าบาทต่อวัน
(หรือประมาณร้อยละ 18.25 ต่อปี)
หรือใช้เวลาเพียง 3.9 ปีดอกเบี้ยก็จะเท่ากับเงินต้นแล้ว

ดังนั้นมารดาของเพื่อนก็เลยตัดสินใจว่า
เผาสัญญากู้เงินทิ้งทั้งหมดจะดีกว่า
เป็นการทำบุญให้กับเจ้าหนี้และลูกหนี้ทั้งหลายไปเลย
เพราะเรื่องราวก็เนิ่นนานมากและควรจะจบกันได้แล้ว
รวมทั้งแกก็ไม่มีส่วนได้เสียอะไรในเรื่องนี้ด้วย
ยิ่งถ้านำไปให้ลูกชายเจ้าหนี้ไปดำเนินการเรียกร้องหนี้ต่อไปอีก
ยิ่งรื้อเรื่องราวในอดีตออกมา
ก็จะยิ่งมีผู้เสียหายและผู้ออกมาโวยวายมากมาย
ตามเหตุผลข้างต้นที่กล่าวไว้แล้ว

อีกอย่างแนวคิดของแกที่ได้รับการอบรมสั่งสอน
มาจากพ่อบุญธรรมของแกที่เมืองจีน
(พ่อและแม่แท้ ๆ ของแกเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ช่วงยังเป็นเด็กมาก
แกเลยมาอยู่กินและเติบโตขึ้นกับพี่สาวของแม่)
พ่อบุญธรรมมักจะบอกหรือสอนว่า
การให้กู้เงินที่คิดดอกเบี้ยเป็นบาป
อย่าทำเลยไม่ดีในเรื่องนี้
เห็นมานักต่อนักแล้วว่า
คนที่หากินกับดอกเบี้ย
มักเจริญไม่นานหรือลูกหลานมักรับกรรมต่อไปภายหลัง
เพราะเมืองจีนสมัยก่อนนั้น
การคิดดอกเบี้ยก็คิดกันโหดมากกว่าเมืองไทย
เรื่องนี้ยังมีอยู่ในทัศนะของคนจีนรุ่นเก่า ๆ
ที่บางกลุ่มชนยังถืออยู่ในเรื่องนี้
รวมทั้งทางศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์บางส่วน
เรื่องเลยจบกันแบบเช่นนี้เอง

เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ
ก่อนที่จะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลาที่กลืนกินทุกอย่า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ้านรังนกนางแอ่น(กินรัง)

เรื่องเล่าจากคนทำป้ายสุสานจีน

ขอโทษทันทีเมื่อส่งอีเมล์ผิดพลาด